วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558
บทที่1 - บทที่5
บทที่ 1
หลักการและเหตุผล
การศึกษานับเป็นรากฐานที่สำคัญที่ประการหนึ่ง
ในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและแก้ไขปัญหาต่างๆในสังคมได้
เนื่องจากการศึกษาเป็นกระบวนการที่ช่วยให้คนได้พัฒนาตนเองในด้านต่างๆตลอดชีวิต
ตั้งแต่การวางรากฐานการพัฒนาของชีวิตตั้งแต่แรกเกิด
การพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถด้านต่างๆที่จะดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุขอันเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยสร้างความสำเร็จในการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าและรุ่งเรือง
ประเทศไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาจึงจำเป็นจะต้องเร่งปรับปรุงด้านการศึกษาของประเทศให้ประสบผลสำเร็จและมีประสิทธิภาพ
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ
เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย
เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ทำให้สามารถประกอบกิจธุระการงานและดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข
และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ
เพื่อพัฒนาความรู้ ความคิดวิเคราะห์
วิจารณ์และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี ชีวทัศน์
โลกทัศน์ และสุนทรียภาพ โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดี และวรรณกรรมอันล้ำค่า
ภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้
เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป (กรมวิชาการ. 2545 : 1)
วิชาภาษาไทยเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มีความสำคัญในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ
ผู้เรียนต้องเรียนรู้สาระที่เป็นองค์ความรู้ 5 สาระ คือ สาระที่ 1 การอ่าน สาระที่
2 การเขียน สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา และสาระที่
5 วรรณคดีและวรรณกรรม ซึ่งเมื่อจบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว
ผู้เรียนต้องมีความรู้ความสามารถโดยสรุปคือ ต้องสามารถใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างดี
อ่านเขียนฟัง ดูและพูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความคิดอย่างมีเหตุผล
มีนิสัยรักการอ่าน การเขียน การแสวงหาความรู้และใช้ภาษาในการพัฒนาตน
สามารถนำทักษะทางภาษามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล
ตลอดจนมีวิสัยทัศน์โลกทัศน์ที่กว้างไกลและลึกซึ้ง (สุภาภรณ์ ระยันต์. 2548: 1)
การจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพนั้น ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคือ
การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
เทคโนโลยีการศึกษาจึงเข้ามามีบทบาทและความสำคัญในฐานะที่เป็นเครื่องมือที่ดี
ทำให้ผู้สอนสามารถช่วยถ่ายทอดแนวคิด ข้อเท็จจริง ทักษะ เจตคติ ความซาบซึ้ง
ทำให้ผู้เรียนมองเห็นคุณค่าในเนื้อหาที่สอน อันเป็นรากฐานที่จะทำให้เกิดความเข้าใจ
เกิดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนอย่างแท้จริง
กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องศักยภาพการเรียนรู้ของเด็กในปัจจุบัน
การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบการเรียนการสอนก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลได้
การ นำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนหรือที่เรียกว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์นั้น
เป็นตัวเลือกที่ดีที่เหมาะสมอย่างหนึ่งในการเปลี่ยนนามธรรมให้เป็นรูปธรรม ได้ดี
ซึ่งอาจจะเสนอเนื้อหาในรูปของรูปภาพ ตัวหนังสือ เสียง และภาพเคลื่อนไหว
ทั้งยังส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนตามความสามารถของตนเอง
คอมพิวเตอร์สามารถพัฒนาสติปัญญาของนักเรียนให้เกิดความสามารถทางวิทยาศาสตร์
และคณิตศาสตร์ ตลอดจนช่วยในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ให้นักเรียนสามารถค้นหาคำตอบที่ตนอยากรู้ได้ เกิดแนวความคิดใหม่และเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นที่มีความคิดสร้างสรรค์ต่อผลงานใหม่
ๆ อยู่เสมอ (ยืน ภู่วรวรรณ. 2529: 23)
มัลติมีเดียเป็นสื่อการเรียนการสอนชนิดหนึ่งที่นำมาใช้ในการช่วยสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะรูปแบบการนำเสนอที่แปลกใหม่กว่า
โดยรวมการทำงานของภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว วีดิทัศน์ เสียง ข้อความ
ที่ใช้ร่วมกับระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์มีชีวิตชีวาขึ้นตามความต้องการ
(ธนะพัฒน์ ถึงสุข; และ ชเนนท์ สุขวารี.
2536 : 9) เนื่องจากมัลติมีเดียสามารถนำเสนอบทเรียนได้อย่างหลากหลาย มีทั้งภาพ
เสียง และข้อความช่วยในการกระตุ้น และเร้าความสนใจ ก่อให้เกิดความจำ
และสามารถเรียกกลับมาดูซ้ำเมื่อต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถถามคำถาม
รับคำตอบจากผู้เรียน ตรวจคำตอบ และแสดงผลการเรียนในรูปแบบของข้อมูลย้อนกลับ
จึงเหมาะกับการเรียนการสอนในปัจจุบันที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะผู้เรียนสามารถเรียนไปตามความสามารถ
และตามอัตราความเร็วในการเรียนรู้ของตน (เสาวนีย์ สิกขาบัณฑิต. 2528 : 68)
ซึ่งผู้จัดทำจะนำเสนอเฉพาะในส่วนการเข้าใจความหมาย
การจำแนกชนิดของคำและหน้าที่ของคำแต่ละชนิด
เพื่อเป็นการทบทวนความรู้ให้แก่ผู้เรียนและเป็นการปูพื้นฐานความรู้
เรื่องชนิดของคำ ซึ่งมีความสำคัญต่อผู้เรียนในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
และส่งผลจะทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างดี อ่าน
เขียน ฟัง ดูและพูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความคิดอย่างมีเหตุผล
มีนิสัยรักการอ่าน การเขียน
วัตถุประสงค์
1.เพื่อพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา
เรื่องชนิดของคำไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
รายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงาน มีดังต่อไปนี้
1.1. เสนอหัวข้อโครงงาน
1.2. ศึกษาและรวบรวมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา
เรื่องชนิดของคำไทย
1.3. วิเคราะห์จัดแยกข้อมูลเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน
เพื่อใช้ในการสร้างเนื้อหาในส่วนต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
1.4. พัฒนาสื่อวีดิทัศน์เพื่อการศึกษา
เรื่องชนิดของคำไทยผ่านทาง YouTube ตามที่ได้ออกแบบ
1.5. สร้างแบบประเมินด้านต่างๆและนำไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ
3 ท่าน ประเมินชิ้นงาน แล้วทำการปรับปรุงต้นแบบชิ้นงานตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้แนะนำ
1.6. ทดลองการใช้ศึกษาผ่านเว็บ Youtube.com โดยทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง
และนำข้อมูลมาวิเคราะห์แก้ไขปรับปรุง
1.7. จัดทำรายงาน นำเสนอโครงงาน
และเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ โดยผ่าน Youtube.com
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
การพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา
เรื่องชนิดของคำไทย
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีหัวข้อดังต่อไปนี้
1. บทที่ 1 ชนิดของคำไทย
1.1 บทที่ 1 ตอน 2 ชนิดของคำไทยแบ่งออกเป็น
7 ชนิด
1.คำนาม
2.คำสรรพนาม
3.คำกริยา
4.คำวิเศษณ์
5.คำบุรพบท
6.คำสันธาน
7.คำอุทาน
2.บทที่ 2 การตัดต่อสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา
เรื่องชนิดของคำไทย ผ่านโปรแกรม Corel Video
Studio ProX7
2.1บทที่ 2 ตอน 2 การตัดต่อ
ปรับแต่งวิดิทัศน์
3.บทที่ 3 การแปลงวีดิทัศน์ที่ตัดต่อเสร็จไปใช้งาน
1. บทที่ 1 การรวบรวมข้อมูลเกกี่ยวกับชนิดของคำไทย
คำไทยแบ่งออกเป็น 7 ชนิด แต่ละชนิดมีลักษณะและหน้าที่แตกต่างกันออกไป
การเรียนรู้เรื่องลักษณะของคำเพื่อสร้างเป็นกลุ่มคำและประโยคเป็นเรื่องสำคัญ
และจำเป็นอย่างยิ่งในการเรียนและการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน
คำแต่ละคำมีความหมาย
ความหมายของคำจะปรากฏชัดเมื่ออยู่ในประโยค
การสังเกตตำแหน่งและหน้าของคำในประโยคจะช่วยให้เราทราบชนิดของคำรวมทั้งความหมายด้วย
ดังนั้นการศึกษาให้เข้าใจหน้าที่และชนิดของคำในประโยคจึงมีความสำคัญมากเพราะจะช่วยให้เราสามารถใช้คำได้ถูกต้องตรงตามความหมายที่ต้องการ
1.1 บทที่ 1 ตอน 2 ชนิดของคำไทยแบ่งออกเป็น
7 ชนิด
1.คำนาม
ความหมายของคำนาม
คำนาม หมาย ถึง คำที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ พืช สิ่งของ สถานที่ สภาพ อาการ ลักษณะ ทั้งที่เป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เช่นคำว่า คน ปลา ตะกร้า ไก่ ประเทศไทย จังหวัดพิจิตร การออกกำลังกาย การศึกษา ความดี ความงาม กอไผ่ กรรมกร ฝูง ตัว เป็นต้น
ชนิดของคำนาม
คำนามแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังนี้
1. สามานยนาม หรือเรียกว่า คำนามทั่วไป คือ คำนามที่เป็นชื่อทั่วๆไป เป็นคำเรียกสิ่งต่างๆโดยทั่วไปไม่ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น ปลา ผีเสื้อ คน สุนัข วัด ต้นไม้ บ้าน หนังสือ ปากกา เป็นต้น
2. วิสามานยนาม หรือเรียกว่า คำนามเฉพาะ คือ คำนามที่ใช้เรียกชื่อเฉาะของคน สัตว์ หรือสถานที่ เป็นคำเรียนเจาะจงลงไปว่าเป็นใครหรือเป็นอะไร เช่น พระพุทธชินราช เด็กชายวิทวัส จังหวัดพิจิตร วัดท่าหลวง ส้มโอท่าข่อย พระอภัยมณี วันจันทร์ เดือนมกราคม เป็นต้น
3. สมุหนาม คือ คำนามที่ทำหน้าที่แสดงหมวดหมู่ของคำนามทั่วไปและคำนามเฉพาะเช่น ฝูงผึ้ง กอไผ่ คณะนักทัศนาจร บริษัท พวกกรรมกร เป็นต้น
4. ลักษณะนาม คือ เป็นคำนามที่บอกลักษณะของคำนามเพื่อแสดงรูปลักษณะ ขนาด ปริมาณ ของคำนามนั้นนั้นให้ชัดเจน เช่น บ้าน ๑ หลัง โต๊ะ ๕ ตัว คำว่า หลัง และ ตัว เป็นลักษณะนาม
5. อาการนาม คือ คำนามที่เป็นชื่อกริยาอาการเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมไม่มีรูปร่างมักมีคำว่า "การ" และ "ความ" นำหน้า เช่น การกิน การเดิน การพูด การอ่าน การเขียน ความรัก ความดี ความคิด ความฝัน เป็นต้น
คำนาม หมาย ถึง คำที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ พืช สิ่งของ สถานที่ สภาพ อาการ ลักษณะ ทั้งที่เป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เช่นคำว่า คน ปลา ตะกร้า ไก่ ประเทศไทย จังหวัดพิจิตร การออกกำลังกาย การศึกษา ความดี ความงาม กอไผ่ กรรมกร ฝูง ตัว เป็นต้น
ชนิดของคำนาม
คำนามแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังนี้
1. สามานยนาม หรือเรียกว่า คำนามทั่วไป คือ คำนามที่เป็นชื่อทั่วๆไป เป็นคำเรียกสิ่งต่างๆโดยทั่วไปไม่ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น ปลา ผีเสื้อ คน สุนัข วัด ต้นไม้ บ้าน หนังสือ ปากกา เป็นต้น
2. วิสามานยนาม หรือเรียกว่า คำนามเฉพาะ คือ คำนามที่ใช้เรียกชื่อเฉาะของคน สัตว์ หรือสถานที่ เป็นคำเรียนเจาะจงลงไปว่าเป็นใครหรือเป็นอะไร เช่น พระพุทธชินราช เด็กชายวิทวัส จังหวัดพิจิตร วัดท่าหลวง ส้มโอท่าข่อย พระอภัยมณี วันจันทร์ เดือนมกราคม เป็นต้น
3. สมุหนาม คือ คำนามที่ทำหน้าที่แสดงหมวดหมู่ของคำนามทั่วไปและคำนามเฉพาะเช่น ฝูงผึ้ง กอไผ่ คณะนักทัศนาจร บริษัท พวกกรรมกร เป็นต้น
4. ลักษณะนาม คือ เป็นคำนามที่บอกลักษณะของคำนามเพื่อแสดงรูปลักษณะ ขนาด ปริมาณ ของคำนามนั้นนั้นให้ชัดเจน เช่น บ้าน ๑ หลัง โต๊ะ ๕ ตัว คำว่า หลัง และ ตัว เป็นลักษณะนาม
5. อาการนาม คือ คำนามที่เป็นชื่อกริยาอาการเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมไม่มีรูปร่างมักมีคำว่า "การ" และ "ความ" นำหน้า เช่น การกิน การเดิน การพูด การอ่าน การเขียน ความรัก ความดี ความคิด ความฝัน เป็นต้น
หน้าที่ของคำนาม มีดังนี้คือ
1. ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น
- ประกอบชอบอ่านหนังสือ - ตำรวจจับผู้ร้าย
2. ทำหน้าที่เป็นกรรมหรือผู้ถูกกระทำ เช่น
- วารีอ่านจดหมาย - พ่อตีสุนัข
3. ทำหน้าที่ขยายนาม เพื่อทำให้นามที่ถูกขยายชัดเจนขึ้น เช่น
- สมศรีเป็นข้าราชการครู - นายสมศักดิ์ทนายความฟ้องนายปัญญาพ่อค้า
4.ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์หรือส่วนเติมเต็ม เช่น
- ศรรามเป็นทหาร - เขาเป็นตำรวจแต่น้องสาวเป็นพยาบาล
5. ใช้ตามหลังคำบุพบทเพื่อทำหน้าที่บอกสถานที่ หรือขยายกริยาให้มีเนื้อความบอกสถานที่ชัดเจนขี้น
เช่น
- คุณแม่ของเด็กหญิงสายฝนเป็นครู - นักเรียนไปโรงเรียน
6. ใช้บอกเวลาโดยขยายคำกริยาหรือคำนามอื่น เช่น
- คุณพ่อจะไปเชียงใหม่วันเสาร์ - เขาชอบมาตอนกลางวัน
7. ใช้เป็นคำเรียกขานได้ เช่น
- น้ำฝน ช่วยหยิบปากกาให้ครูทีซิ - ตำรวจ ช่วยฉันด้วย
1. ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น
- ประกอบชอบอ่านหนังสือ - ตำรวจจับผู้ร้าย
2. ทำหน้าที่เป็นกรรมหรือผู้ถูกกระทำ เช่น
- วารีอ่านจดหมาย - พ่อตีสุนัข
3. ทำหน้าที่ขยายนาม เพื่อทำให้นามที่ถูกขยายชัดเจนขึ้น เช่น
- สมศรีเป็นข้าราชการครู - นายสมศักดิ์ทนายความฟ้องนายปัญญาพ่อค้า
4.ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์หรือส่วนเติมเต็ม เช่น
- ศรรามเป็นทหาร - เขาเป็นตำรวจแต่น้องสาวเป็นพยาบาล
5. ใช้ตามหลังคำบุพบทเพื่อทำหน้าที่บอกสถานที่ หรือขยายกริยาให้มีเนื้อความบอกสถานที่ชัดเจนขี้น
เช่น
- คุณแม่ของเด็กหญิงสายฝนเป็นครู - นักเรียนไปโรงเรียน
6. ใช้บอกเวลาโดยขยายคำกริยาหรือคำนามอื่น เช่น
- คุณพ่อจะไปเชียงใหม่วันเสาร์ - เขาชอบมาตอนกลางวัน
7. ใช้เป็นคำเรียกขานได้ เช่น
- น้ำฝน ช่วยหยิบปากกาให้ครูทีซิ - ตำรวจ ช่วยฉันด้วย
2. สรรพนาม
ความหมายของคำสรรพนาม
คำสรรพนาม หมายถึง คำที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวถึงมาแล้ว เพื่อจะได้ไม่ต้องกล่าวคำนามนั้นซ้ำอีก เช่นคำว่า ฉัน เรา ดิฉัน กระผม กู คุณ ท่าน ใต้เท้า เขา มัน สิ่งใด ผู้ใด นี่ นั่น อะไร ใคร บ้าง เป็นต้น
ชนิดของคำสรรพนาม
คำสรรพนามแบ่งออกเป็น 6 ชนิด ดังนี้
1. บุรษสรรพนาม คือ คำ สรรพนามที่ใช้แทนผู้พูด แบ่งเป็นชนิดย่อยได้ 3 ชนิด คือ
1.1 สรรพนามบุรุษที่ 1 ใช้แทนตัวผู้พูด เช่น ผม ฉัน ดิฉัน กระผม ข้าพเจ้า กู เรา ข้าพระพุทธเจ้า อาตมา หม่อมฉัน เกล้ากระหม่อม
1.2 สรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้แทนผู้ฟัง หรือผู้ที่เราพูดด้วย เช่น คุณ เธอ ใต้เท้า ท่าน
1.3 สรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้ที่กล่าวถึง เขา มัน ท่าน พระองค์
2. ประพันธสรรพนาม คือ คำสรรพนามที่ใช้แทนคำนามและใช้เชื่อมประโยคทำหน้าที่เชื่อมประโยคให้มีความสัมพันธ์กัน ได้แก่คำว่า ที่ ซึ่ง อัน ผู้
3. นิยมสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามชี้เฉพาะเจาะจงหรือบอกกำหนดความให้ผู้พูดกับผู้ฟังเข้าใจกัน ได้แก่คำว่า นี่ นั่น โน่น
4. อนิยมสรรนาม คือ สรรพนามใช้แทนนามบอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจงที่แน่นอนลงไป ได้แก่คำว่า อะไร ใคร ไหน ได บางครั้งก็เป็นคำซ้ำๆ เช่น ใครๆ อะไรๆ ไหนๆ
5. วิภาคสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนคำนาม ซึ่งแสดงให้เห็นว่านามนั้นจำแนกออกเป็นหลายส่วน ได้แก่คำว่า ต่าง บ้าง กัน เช่น
- นักเรียน"บ้าง"เรียน"บ้าง"เล่น - นักเรียน"ต่าง"ก็อ่านหนังสือ
6. ปฤจฉาสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามที่เป็นคำถาม ได้แก่คำว่า อะไร ใคร ไหน ผู้ใด สิ่งใด ผู้ใด ฯลฯ เช่น
- "ใคร" ทำแก้วแตก - เขาไปที่ "ไหน"
หน้าที่ของคำสรรพนาม มีดังนี้ คีอ
1. เป็นประธานของประโยค เช่น
- "เขา"ไปโรงเรียน - "ใคร"ทำดินสอตกอยู่บนพื้น
2. ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค (ผู้ถูกกระทำ) เช่น
- ครูจะตี"เธอ"ถ้าเธอไม่ทำการบ้าน - คุณช่วยเอา"นี่"ไปเก็บได้ไหม
3. ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มหรือส่วนสมบูรณ์ เช่น
- กำนันคนใหม่ของตำบลนี้คือ"เขา"นั่นเอง - เขาเป็น"ใคร"
4. ใช้เชื่อมประโยคในประโยคความซ้อน เช่น
- ครูชมเชยนักเรียน"ที่"ขยัน
5. ทำหน้าที่ขยายนามที่ทำหน้าที่เป็นประธานหรือกรรมของประโยค เพื่อเน้นการแสดงความรู้สึกของผู้พูด จะวางหลังคำนาม
- ไปเยี่ยมคุณปู่"ท่าน"มา
คำสรรพนาม หมายถึง คำที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวถึงมาแล้ว เพื่อจะได้ไม่ต้องกล่าวคำนามนั้นซ้ำอีก เช่นคำว่า ฉัน เรา ดิฉัน กระผม กู คุณ ท่าน ใต้เท้า เขา มัน สิ่งใด ผู้ใด นี่ นั่น อะไร ใคร บ้าง เป็นต้น
ชนิดของคำสรรพนาม
คำสรรพนามแบ่งออกเป็น 6 ชนิด ดังนี้
1. บุรษสรรพนาม คือ คำ สรรพนามที่ใช้แทนผู้พูด แบ่งเป็นชนิดย่อยได้ 3 ชนิด คือ
1.1 สรรพนามบุรุษที่ 1 ใช้แทนตัวผู้พูด เช่น ผม ฉัน ดิฉัน กระผม ข้าพเจ้า กู เรา ข้าพระพุทธเจ้า อาตมา หม่อมฉัน เกล้ากระหม่อม
1.2 สรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้แทนผู้ฟัง หรือผู้ที่เราพูดด้วย เช่น คุณ เธอ ใต้เท้า ท่าน
1.3 สรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้ที่กล่าวถึง เขา มัน ท่าน พระองค์
2. ประพันธสรรพนาม คือ คำสรรพนามที่ใช้แทนคำนามและใช้เชื่อมประโยคทำหน้าที่เชื่อมประโยคให้มีความสัมพันธ์กัน ได้แก่คำว่า ที่ ซึ่ง อัน ผู้
3. นิยมสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามชี้เฉพาะเจาะจงหรือบอกกำหนดความให้ผู้พูดกับผู้ฟังเข้าใจกัน ได้แก่คำว่า นี่ นั่น โน่น
4. อนิยมสรรนาม คือ สรรพนามใช้แทนนามบอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจงที่แน่นอนลงไป ได้แก่คำว่า อะไร ใคร ไหน ได บางครั้งก็เป็นคำซ้ำๆ เช่น ใครๆ อะไรๆ ไหนๆ
5. วิภาคสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนคำนาม ซึ่งแสดงให้เห็นว่านามนั้นจำแนกออกเป็นหลายส่วน ได้แก่คำว่า ต่าง บ้าง กัน เช่น
- นักเรียน"บ้าง"เรียน"บ้าง"เล่น - นักเรียน"ต่าง"ก็อ่านหนังสือ
6. ปฤจฉาสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามที่เป็นคำถาม ได้แก่คำว่า อะไร ใคร ไหน ผู้ใด สิ่งใด ผู้ใด ฯลฯ เช่น
- "ใคร" ทำแก้วแตก - เขาไปที่ "ไหน"
หน้าที่ของคำสรรพนาม มีดังนี้ คีอ
1. เป็นประธานของประโยค เช่น
- "เขา"ไปโรงเรียน - "ใคร"ทำดินสอตกอยู่บนพื้น
2. ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค (ผู้ถูกกระทำ) เช่น
- ครูจะตี"เธอ"ถ้าเธอไม่ทำการบ้าน - คุณช่วยเอา"นี่"ไปเก็บได้ไหม
3. ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มหรือส่วนสมบูรณ์ เช่น
- กำนันคนใหม่ของตำบลนี้คือ"เขา"นั่นเอง - เขาเป็น"ใคร"
4. ใช้เชื่อมประโยคในประโยคความซ้อน เช่น
- ครูชมเชยนักเรียน"ที่"ขยัน
5. ทำหน้าที่ขยายนามที่ทำหน้าที่เป็นประธานหรือกรรมของประโยค เพื่อเน้นการแสดงความรู้สึกของผู้พูด จะวางหลังคำนาม
- ไปเยี่ยมคุณปู่"ท่าน"มา
3. คำกริยา
ความหมายของคำกริยา
คำกริยา หมายถึง คำแสดงอาการ การกระทำ หรือบอกสภาพของคำนามหรือคำสรรพนาม เพื่อให้ได้ความ เช่นคำว่า กิน เดิน นั่ง นอน เล่น จับ เขียน อ่าน เป็น คือ ถูก คล้าย เป็นต้น
ชนิดของคำกริยา
คำกริยาแบ่งเป็น 5 ชนิด
1. อกรรมกริยา คือ คำกริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับก็ได้ความสมบูรณ์ เข้าใจได้ เช่น
- เขา"ยืน"อยู่ - น้อง"นอน"
2. สกรรมกริยา คือ คำกริยาที่ต้องมีกรรมมารับ เพราะคำกริยานี้ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง เช่น
- ฉัน "กิน"ข้าว (ข้าวเป็นกรรมที่มารับคำว่ากิน)
- เขา"เห็น"นก (นกเป็นกรรมที่มารับคำว่าเห็น)
3. วิกตรรถกริยา คือ คำกริยาที่ไม่มีความหมายในตัวเอง ใช้ตามลำพังแล้วไม่ได้ความ ต้องมีคำอื่นมาประกอบจึงจะได้ความ คำกริยาพวกนี้คือ เป็น เหมือน คล้าย เท่า คือ เช่น
- เขา"เป็น"นักเรียน - เขา"คือ"ครูของฉันเอง
4. กริยานุเคราะห์ คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่ช่วยคำกริยาสำคัญในประโยคให้มีความหมายชัดเจนขึ้น ได้แก่คำว่า จง กำลัง จะ ย่อม คง ยัง ถูก นะ เถอะ เทอญ ฯลฯ เช่น
- นายดำ"จะ"ไปโรงเรียน - เขา"ถูก"ตี
5. กริยาสภาวมาลา คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่เป็นคำนามจะเป็นประธาน กรรม หรือบทขยายของประโยคก็ได้ เช่น
- "นอน"หลับเป็นการพักผ่อนที่ดี (นอน เป็นคำกริยาที่เป็นประธานของประโยค)
- ฉันชอบไป"เที่ยว"กับเธอ (เที่ยว เป็นคำกริยาที่เป็นกรรมของประโยค)
หน้าที่ของคำกริยามีดังนี้คือ
1. ทำหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดงของประโยค เช่น
- ขนมวางอยู่บนโต๊ะ - นักเรียนอ่านหนังสือทุกวัน
2. ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น
- วันเดินทางของเขาคือวันพรุ่งนี้ ("เดินทาง" เป็นคำกริยาที่ไปขยายคำนาม "วัน")
3. ทำหน้าที่ขยายกริยา เช่น
- เด็กคนนั้นนั่งดูนก ("ดู" เป็นคำกริยาที่ไปขยายคำกริยา "นั่ง")
4. ทำหน้าที่เหมือนคำนาม เช่น
- ออกกำลังกายทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง ("ออกกำลังกาย" เป็นคำกริยา ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
- เด็กชอบเดินเร็วๆ ("เดิน" เป็นคำกริยา ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค)
คำกริยา หมายถึง คำแสดงอาการ การกระทำ หรือบอกสภาพของคำนามหรือคำสรรพนาม เพื่อให้ได้ความ เช่นคำว่า กิน เดิน นั่ง นอน เล่น จับ เขียน อ่าน เป็น คือ ถูก คล้าย เป็นต้น
ชนิดของคำกริยา
คำกริยาแบ่งเป็น 5 ชนิด
1. อกรรมกริยา คือ คำกริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับก็ได้ความสมบูรณ์ เข้าใจได้ เช่น
- เขา"ยืน"อยู่ - น้อง"นอน"
2. สกรรมกริยา คือ คำกริยาที่ต้องมีกรรมมารับ เพราะคำกริยานี้ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง เช่น
- ฉัน "กิน"ข้าว (ข้าวเป็นกรรมที่มารับคำว่ากิน)
- เขา"เห็น"นก (นกเป็นกรรมที่มารับคำว่าเห็น)
3. วิกตรรถกริยา คือ คำกริยาที่ไม่มีความหมายในตัวเอง ใช้ตามลำพังแล้วไม่ได้ความ ต้องมีคำอื่นมาประกอบจึงจะได้ความ คำกริยาพวกนี้คือ เป็น เหมือน คล้าย เท่า คือ เช่น
- เขา"เป็น"นักเรียน - เขา"คือ"ครูของฉันเอง
4. กริยานุเคราะห์ คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่ช่วยคำกริยาสำคัญในประโยคให้มีความหมายชัดเจนขึ้น ได้แก่คำว่า จง กำลัง จะ ย่อม คง ยัง ถูก นะ เถอะ เทอญ ฯลฯ เช่น
- นายดำ"จะ"ไปโรงเรียน - เขา"ถูก"ตี
5. กริยาสภาวมาลา คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่เป็นคำนามจะเป็นประธาน กรรม หรือบทขยายของประโยคก็ได้ เช่น
- "นอน"หลับเป็นการพักผ่อนที่ดี (นอน เป็นคำกริยาที่เป็นประธานของประโยค)
- ฉันชอบไป"เที่ยว"กับเธอ (เที่ยว เป็นคำกริยาที่เป็นกรรมของประโยค)
หน้าที่ของคำกริยามีดังนี้คือ
1. ทำหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดงของประโยค เช่น
- ขนมวางอยู่บนโต๊ะ - นักเรียนอ่านหนังสือทุกวัน
2. ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น
- วันเดินทางของเขาคือวันพรุ่งนี้ ("เดินทาง" เป็นคำกริยาที่ไปขยายคำนาม "วัน")
3. ทำหน้าที่ขยายกริยา เช่น
- เด็กคนนั้นนั่งดูนก ("ดู" เป็นคำกริยาที่ไปขยายคำกริยา "นั่ง")
4. ทำหน้าที่เหมือนคำนาม เช่น
- ออกกำลังกายทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง ("ออกกำลังกาย" เป็นคำกริยา ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
- เด็กชอบเดินเร็วๆ ("เดิน" เป็นคำกริยา ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค)
4. คำวิเศษณ์
ความหมายของคำวิเศษณ์
คำวิเศษณ์ หมายถึง คำที่ใช้ประกอบหรือขยายคำนาม สรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อให้ได้ใจความชัดเจนและละเอียดมากขึ้น เช่น
- คนอ้วนกินจุ
("อ้วน" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำนาม "คน" "จุ" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำกริยา "กิน")
- เขาร้องเพลงได้ไพเราะ
("ไพเราะ" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำกริยา "ร้องเพลง")
- เขาร้องเพลงได้ไพเราะมาก
("มาก" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำวิเศษณ์ "ไพเราะ")
ชนิดของคำวิเศษณ์
คำวิเศษณ์แบ่งออกเป็น 10 ชนิด ดังนี้
1. ลักษณะวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกลักษณะต่างๆ เช่น บอกชนิด สี ขนาด สัณฐาน กลิ่น รส บอกความรู้สึก เช่น ดี ชั่ว ใหญ่ ขาว ร้อน เย็น หอม หวาน กลม แบน เป็นต้น เช่น
- น้ำร้อนอยูในกระติกสีขาว
- จานใบใหญ่ราคาแพงกว่าจานใบเล็ก
2. กาลวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เย็น อดีต อนาคต เป็นต้น เช่น
- พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณแม่
- เขามาโรงเรียนสาย
3. สถานวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ ซ้าย ขวา เป็นต้น เช่น
- บ้านฉันอยู่ไกลตลาด
4. ประมาณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกจำนวน หรือปริมาณ เช่น หนึ่ง สอง สาม มาก น้อย บ่อย หลาย บรรดา ต่าง บ้าง เป็นต้น เช่น
- เขามีเงินห้าบาท
- เขามาหาฉันบ่อยๆ
5. ประติเษธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ เช่น ไม่ ไม่ใช่ มิ มิใช่ ไม่ได้ หามิได้ เป็นต้น เช่น
- เขามิได้มาคนเดียว
- ของนี้ไม่ใช่ของฉัน ฉันจึงรับไว้ไม่ได้
6. ประติชญาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่ใช้แสดงการขานรับหรือโต้ตอบ เช่น ครับ ขอรับ ค่ะ เป็นต้น เช่น
- คุณครับมีคนมาหาขอรับ
- คุณครูขา สวัสดีค่ะ
7. นิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความชี้เฉพาะ เช่น นี้ นั่น โน่น ทั้งนี้ ทั้งนั้น แน่นอน เป็นต้น เช่น
- บ้านนั้นไม่มีใคราอยู่
- เขาเป็นคนขยันแน่ๆ
8. อนิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความไม่ชี้เฉพาะ เช่น ใด อื่น ไหน อะไร ใคร ฉันใด เป็นต้น เช่น
- เธอจะมาเวลาใดก็ได้
- คุณจะนั่งเก้าอื้ตัวไหนก็ได้
9. ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์แสดงคำถาม หรือแสดงความสงสัย เช่น ใด ไร ไหน อะไร สิ่งใด ทำไม เป็นต้น เช่น
- เสื้อตัวนี้ราคาเท่าไร
- เขาจะมาเมื่อไร
10. ประพันธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมคำหรือประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน เช่นคำว่า ที่ ซึ่ง อัน อย่าง ที่ว่า เพื่อว่า ให้ เป็นต้น เช่น
- เขาทำงานหนักเพื่อว่าเขาจะได้มีเงินมาก
- เขาทำความดี อัน หาที่สุดมิได้
คำวิเศษณ์ หมายถึง คำที่ใช้ประกอบหรือขยายคำนาม สรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อให้ได้ใจความชัดเจนและละเอียดมากขึ้น เช่น
- คนอ้วนกินจุ
("อ้วน" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำนาม "คน" "จุ" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำกริยา "กิน")
- เขาร้องเพลงได้ไพเราะ
("ไพเราะ" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำกริยา "ร้องเพลง")
- เขาร้องเพลงได้ไพเราะมาก
("มาก" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำวิเศษณ์ "ไพเราะ")
ชนิดของคำวิเศษณ์
คำวิเศษณ์แบ่งออกเป็น 10 ชนิด ดังนี้
1. ลักษณะวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกลักษณะต่างๆ เช่น บอกชนิด สี ขนาด สัณฐาน กลิ่น รส บอกความรู้สึก เช่น ดี ชั่ว ใหญ่ ขาว ร้อน เย็น หอม หวาน กลม แบน เป็นต้น เช่น
- น้ำร้อนอยูในกระติกสีขาว
- จานใบใหญ่ราคาแพงกว่าจานใบเล็ก
2. กาลวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เย็น อดีต อนาคต เป็นต้น เช่น
- พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณแม่
- เขามาโรงเรียนสาย
3. สถานวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ ซ้าย ขวา เป็นต้น เช่น
- บ้านฉันอยู่ไกลตลาด
4. ประมาณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกจำนวน หรือปริมาณ เช่น หนึ่ง สอง สาม มาก น้อย บ่อย หลาย บรรดา ต่าง บ้าง เป็นต้น เช่น
- เขามีเงินห้าบาท
- เขามาหาฉันบ่อยๆ
5. ประติเษธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ เช่น ไม่ ไม่ใช่ มิ มิใช่ ไม่ได้ หามิได้ เป็นต้น เช่น
- เขามิได้มาคนเดียว
- ของนี้ไม่ใช่ของฉัน ฉันจึงรับไว้ไม่ได้
6. ประติชญาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่ใช้แสดงการขานรับหรือโต้ตอบ เช่น ครับ ขอรับ ค่ะ เป็นต้น เช่น
- คุณครับมีคนมาหาขอรับ
- คุณครูขา สวัสดีค่ะ
7. นิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความชี้เฉพาะ เช่น นี้ นั่น โน่น ทั้งนี้ ทั้งนั้น แน่นอน เป็นต้น เช่น
- บ้านนั้นไม่มีใคราอยู่
- เขาเป็นคนขยันแน่ๆ
8. อนิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความไม่ชี้เฉพาะ เช่น ใด อื่น ไหน อะไร ใคร ฉันใด เป็นต้น เช่น
- เธอจะมาเวลาใดก็ได้
- คุณจะนั่งเก้าอื้ตัวไหนก็ได้
9. ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์แสดงคำถาม หรือแสดงความสงสัย เช่น ใด ไร ไหน อะไร สิ่งใด ทำไม เป็นต้น เช่น
- เสื้อตัวนี้ราคาเท่าไร
- เขาจะมาเมื่อไร
10. ประพันธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมคำหรือประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน เช่นคำว่า ที่ ซึ่ง อัน อย่าง ที่ว่า เพื่อว่า ให้ เป็นต้น เช่น
- เขาทำงานหนักเพื่อว่าเขาจะได้มีเงินมาก
- เขาทำความดี อัน หาที่สุดมิได้
หน้าที่ของคำวิเศษณ์ มีดังนี้คือ
1. ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น
- คนอ้วนกินจุ ( "อ้วน" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำนาม "คน")
- ตำรวจหลายคนจับโจรผู้ร้าย ("หลาย" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำนาม "ตำรวจ")
2. ทำหน้าที่ขยายคำสรรพนาม เช่น
- เราทั้งหมดช่วยกันทำงานให้เรียบร้อย ("ทั้งหมด" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำสรรพนาม "เรา")
- ฉันเองเป็นคนพูด ( "เอง" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำสรรพนาม "ฉัน")
3. ทำหน้าที่ขยายกริยา เช่น
- เด็กคนนั้นนั่งดูนก ("ดู" เป็นคำกริยาที่ไปขยายคำกริยา "นั่ง")
4. ทำหน้าที่เหมือนคำนาม เช่น
- ออกกำลังกายทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง ("ออกกำลังกาย" เป็นคำกริยา ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
- เด็กชอบเดินเร็วๆ ("เดิน" เป็นคำกริยา ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค)
5. ทำหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดง เช่น
- เธอสูงกว่าคนอื่น
- ขนมนี้อร่อยดี
1. ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น
- คนอ้วนกินจุ ( "อ้วน" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำนาม "คน")
- ตำรวจหลายคนจับโจรผู้ร้าย ("หลาย" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำนาม "ตำรวจ")
2. ทำหน้าที่ขยายคำสรรพนาม เช่น
- เราทั้งหมดช่วยกันทำงานให้เรียบร้อย ("ทั้งหมด" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำสรรพนาม "เรา")
- ฉันเองเป็นคนพูด ( "เอง" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำสรรพนาม "ฉัน")
3. ทำหน้าที่ขยายกริยา เช่น
- เด็กคนนั้นนั่งดูนก ("ดู" เป็นคำกริยาที่ไปขยายคำกริยา "นั่ง")
4. ทำหน้าที่เหมือนคำนาม เช่น
- ออกกำลังกายทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง ("ออกกำลังกาย" เป็นคำกริยา ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
- เด็กชอบเดินเร็วๆ ("เดิน" เป็นคำกริยา ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค)
5. ทำหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดง เช่น
- เธอสูงกว่าคนอื่น
- ขนมนี้อร่อยดี
5. คำบุพบท
ความหมายของคำบุพบท
คำบุพบท หมายถึง คำที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหรือประโยค เพื่อให้ทราบว่าคำหรือกลุ่มคำที่ตามหลังคำบุพบทนั้นเกี่ยวข้องกับกลุ่มคำ ข้างหน้าในประโยคในลักษณะใด เช่น กับ แก่ แต่ ต่อ ด้วย โดย ตาม ข้าง ถึง จาก ใน บน ใต้ สิ้น สำหรับ นอก เพื่อ ของ เกือบ ตั้งแต่ แห่ง ที่ เป็นต้น เช่น
-เขามาแต่เช้า
-บ้านของคุณน่าอยู่จริง
- คุณครูให้รางวัลแก่ฉัน
- เขาให้รางวัลเฉพาะคนที่สอบได้ที่หนึ่ง
-ชนิดของคำของคำบุพบท
ความหมายของคำบุพบท
คำบุพบท หมายถึง คำที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหรือประโยค เพื่อให้ทราบว่าคำหรือกลุ่มคำที่ตามหลังคำบุพบทนั้นเกี่ยวข้องกับกลุ่มคำ ข้างหน้าในประโยคในลักษณะใด เช่น กับ แก่ แต่ ต่อ ด้วย โดย ตาม ข้าง ถึง จาก ใน บน ใต้ สิ้น สำหรับ นอก เพื่อ ของ เกือบ ตั้งแต่ แห่ง ที่ เป็นต้น เช่น
-เขามาแต่เช้า
-บ้านของคุณน่าอยู่จริง
- คุณครูให้รางวัลแก่ฉัน
- เขาให้รางวัลเฉพาะคนที่สอบได้ที่หนึ่ง
-ชนิดของคำของคำบุพบท
คำบุพบทแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
1. คำบุพบทที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำต่อคำ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคำนามกับคำนาม คำสรรพนามกับคำนาม คำนามกับคำกริยา คำสรรพนามกับคำสรรพนาม คำสรรพนามกับคำกริยา คำกริยากับคำนาม คำกริยากับคำสรรพนาม คำกริยากับคำกริยา เพื่อบอกสถานการให้ชัดเจน เช่น
1.1 บอกสถานภาพความเป็นเจ้าของ เช่น
- พ่อซื้อสวนของนายทองคำ (นามกับนาม)
1.2 บอกความเกี่ยวข้อง เช่น
- เขาเห็นแก่กิน (กริยากับกริยา)
1.3 บอกการให้และบอกความประสงค์ เช่น
- คุณครูให้รางวัลแก่ฉัน (นามกับสรรพนาม)
1.4 บอกเวลา เช่น
- เขามาตั้งแต่เช้า (กริยากับนาม)
1.5 บอกสถานที่ เช่น
- เขามาจากต่างจังหวัด (กริยากับนาม)
1.6 บอกความเปรียบเทียบ เช่น
- พี่หนักกว่าฉัน (กริยากับสรรพนาม)
2. คำบุพบทที่ไม่มีความสัมพันธ์กับคำอื่น ส่วนมากจะอยู่ต้นประโยค ใช้เป็นการทักทาย มักใช้ในคำประพันธ์ เช่นคำว่า ดูก่อน ข้าแต่ ดูกร คำเหล่านี้ใช้นำหน้าคำสรรพนามหรือคำนาม เช่น
- ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย
- ข้าแต่ท่านทั้งหลายโปรดฟังข้าพเจ้า
หน้าที่ของคำบุพบท มีดังนี้คือ
1. ทำหน้าที่นำหน้านาม เช่น
- หนังสือของพ่อหาย - เขาไปกับเพื่อน
2. ทำหน้าที่นำหน้าสรรพนาม เช่น
- ปากกาของฉันอยู่ที่เขา - ฉันชอบอยู่ใกล้เธอ
1. คำบุพบทที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำต่อคำ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคำนามกับคำนาม คำสรรพนามกับคำนาม คำนามกับคำกริยา คำสรรพนามกับคำสรรพนาม คำสรรพนามกับคำกริยา คำกริยากับคำนาม คำกริยากับคำสรรพนาม คำกริยากับคำกริยา เพื่อบอกสถานการให้ชัดเจน เช่น
1.1 บอกสถานภาพความเป็นเจ้าของ เช่น
- พ่อซื้อสวนของนายทองคำ (นามกับนาม)
1.2 บอกความเกี่ยวข้อง เช่น
- เขาเห็นแก่กิน (กริยากับกริยา)
1.3 บอกการให้และบอกความประสงค์ เช่น
- คุณครูให้รางวัลแก่ฉัน (นามกับสรรพนาม)
1.4 บอกเวลา เช่น
- เขามาตั้งแต่เช้า (กริยากับนาม)
1.5 บอกสถานที่ เช่น
- เขามาจากต่างจังหวัด (กริยากับนาม)
1.6 บอกความเปรียบเทียบ เช่น
- พี่หนักกว่าฉัน (กริยากับสรรพนาม)
2. คำบุพบทที่ไม่มีความสัมพันธ์กับคำอื่น ส่วนมากจะอยู่ต้นประโยค ใช้เป็นการทักทาย มักใช้ในคำประพันธ์ เช่นคำว่า ดูก่อน ข้าแต่ ดูกร คำเหล่านี้ใช้นำหน้าคำสรรพนามหรือคำนาม เช่น
- ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย
- ข้าแต่ท่านทั้งหลายโปรดฟังข้าพเจ้า
หน้าที่ของคำบุพบท มีดังนี้คือ
1. ทำหน้าที่นำหน้านาม เช่น
- หนังสือของพ่อหาย - เขาไปกับเพื่อน
2. ทำหน้าที่นำหน้าสรรพนาม เช่น
- ปากกาของฉันอยู่ที่เขา - ฉันชอบอยู่ใกล้เธอ
3. ทำหน้าที่นำหน้ากริยา เช่น
- เขากินเพื่ออยู่ - เขาทำงานกระทั่งตาย
4. ทำหน้าที่นำหน้าประโยค เช่น
- เขามาตั้งแต่ฉันตื่นนอน - เขาพูดเสียงดังกับคนไข้
5. ทำหน้าที่นำหน้าคำวิเศษณ์ เช่น
- เขาต้องมาหาฉันโดยเร็ว - เขาเลวสิ้นดี
- เขากินเพื่ออยู่ - เขาทำงานกระทั่งตาย
4. ทำหน้าที่นำหน้าประโยค เช่น
- เขามาตั้งแต่ฉันตื่นนอน - เขาพูดเสียงดังกับคนไข้
5. ทำหน้าที่นำหน้าคำวิเศษณ์ เช่น
- เขาต้องมาหาฉันโดยเร็ว - เขาเลวสิ้นดี
ความหมายของคำสันธาน
คำสันธาน หมายถึง คำที่ใช้เชื่อมประโยค หรือข้อความกับข้อความ เพื่อทำให้ประโยคนั้นรัดกุม กระชับและสละสลวย เช่นคำว่า และ แล้ว จึง แต่ หรือ เพราะ เหตุเพราะ เป็นต้น เช่น
- เขาอยากเรียนหนังสือเก่งๆ แต่เขาไม่ชอบอ่านหนังสือ
- เขามาโรงเรียนสายเพราะฝนตกหนัก
6. คำสันธาน
คำสันธาน หมายถึง คำที่ใช้เชื่อมประโยค หรือข้อความกับข้อความ เพื่อทำให้ประโยคนั้นรัดกุม กระชับและสละสลวย เช่นคำว่า และ แล้ว จึง แต่ หรือ เพราะ เหตุเพราะ เป็นต้น เช่น
- เขาอยากเรียนหนังสือเก่งๆ แต่เขาไม่ชอบอ่านหนังสือ
- เขามาโรงเรียนสายเพราะฝนตกหนัก
6. คำสันธาน
ชนิดของคำสันธาน
คำสันธานแบ่งเป็น 4 ชนิด ดังนี้
1. คำสันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน ได้แก่คำว่า และ ทั้ง...และ ทั้ง...ก็ ครั้น...ก็ ครั้น...จึง ก็ดี เมื่อ...ก็ว่า พอ...แล้ว เช่น
- ทั้งพ่อและแม่ของผมเป็นคนใต้
- พอทำการบ้านเสร็จแล้วฉันก็นอน
2. คำสันธานที่เชื่อมความขัดแย้งกัน เช่นคำว่า แต่ แต่ว่า กว่า...ก็ ถึง...ก็ เป็นต้น เช่น
- ผมต้องการพูดกับเขา แต่เขาไม่ยอมพูดกับผม
- กว่าเราจะเรียนจบเพื่อนๆ ก็ทำงานหมดแล้ว
3. คำสันธานที่เชื่อมข้อมความให้เลือก ได้แก่คำว่า หรือ หรือไม่ ไม่...ก็ หรือไม่ก็ ไม่เช่นนั้น มิฉะนั้น...ก็ เป็นต้น เช่น
- นักเรียนชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์หรือภาษาไทย
- เธอคงไปซื้อของหรือไม่ก็ไปดูหนัง
4 คำสันธานที่เชื่อมความที่เป็นเหตุเป็นผล ได้แก่คำว่า เพราะ เพราะว่า ฉะนั้น...จึง ดังนั้น เหตุเพราะ เหตุว่า เพราะฉะนั้น...จึง เป็นต้น เช่น
- นักเรียนมาโรงเรียนสายเพราะฝนตกหนัก
- เพราะวาสนาไม่ออกกำลังกายเธอจึงอ้วนมาก
หน้าที่ของคำสันธาน มีดังนี้คือ
1. เชื่อมประโยคกับประโยต เช่น
- เขามีเงินมากแต่เขาก็หาความสุขไม่ได้
- พ่อทำงานหนักเพื่อส่งเสียให้ลูกๆ ได้เรียนหนังสือ
- ฉันอยากได้รองเท้าที่ราคาถูกและใช้งานได้นาน
2. เชื่อมคำกับคำหรือกลุ่มคำ เช่น
- สมชายลำบากเมื่อแก่
- เธอจะสู้ต่อไปหรือยอมแพ้
- ฉันเห็นนายกรัฐมนตรีและภริยา
3. เชื่อมข้อความกับข้อความ เช่น
- ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่เมืองไทย เขาขยันหมั่นเพียรไม่ยอมให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เขาจึงร่ำรวย จนเกือบจะซื้อแผ่นดินไทยได้ทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายจงตื่นเถิด จงพากันขยันทำงานทุกชนิดเพื่อจะได้รักษาผืนแผ่นดินของไทยไว้
คำสันธานแบ่งเป็น 4 ชนิด ดังนี้
1. คำสันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน ได้แก่คำว่า และ ทั้ง...และ ทั้ง...ก็ ครั้น...ก็ ครั้น...จึง ก็ดี เมื่อ...ก็ว่า พอ...แล้ว เช่น
- ทั้งพ่อและแม่ของผมเป็นคนใต้
- พอทำการบ้านเสร็จแล้วฉันก็นอน
2. คำสันธานที่เชื่อมความขัดแย้งกัน เช่นคำว่า แต่ แต่ว่า กว่า...ก็ ถึง...ก็ เป็นต้น เช่น
- ผมต้องการพูดกับเขา แต่เขาไม่ยอมพูดกับผม
- กว่าเราจะเรียนจบเพื่อนๆ ก็ทำงานหมดแล้ว
3. คำสันธานที่เชื่อมข้อมความให้เลือก ได้แก่คำว่า หรือ หรือไม่ ไม่...ก็ หรือไม่ก็ ไม่เช่นนั้น มิฉะนั้น...ก็ เป็นต้น เช่น
- นักเรียนชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์หรือภาษาไทย
- เธอคงไปซื้อของหรือไม่ก็ไปดูหนัง
4 คำสันธานที่เชื่อมความที่เป็นเหตุเป็นผล ได้แก่คำว่า เพราะ เพราะว่า ฉะนั้น...จึง ดังนั้น เหตุเพราะ เหตุว่า เพราะฉะนั้น...จึง เป็นต้น เช่น
- นักเรียนมาโรงเรียนสายเพราะฝนตกหนัก
- เพราะวาสนาไม่ออกกำลังกายเธอจึงอ้วนมาก
หน้าที่ของคำสันธาน มีดังนี้คือ
1. เชื่อมประโยคกับประโยต เช่น
- เขามีเงินมากแต่เขาก็หาความสุขไม่ได้
- พ่อทำงานหนักเพื่อส่งเสียให้ลูกๆ ได้เรียนหนังสือ
- ฉันอยากได้รองเท้าที่ราคาถูกและใช้งานได้นาน
2. เชื่อมคำกับคำหรือกลุ่มคำ เช่น
- สมชายลำบากเมื่อแก่
- เธอจะสู้ต่อไปหรือยอมแพ้
- ฉันเห็นนายกรัฐมนตรีและภริยา
3. เชื่อมข้อความกับข้อความ เช่น
- ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่เมืองไทย เขาขยันหมั่นเพียรไม่ยอมให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เขาจึงร่ำรวย จนเกือบจะซื้อแผ่นดินไทยได้ทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายจงตื่นเถิด จงพากันขยันทำงานทุกชนิดเพื่อจะได้รักษาผืนแผ่นดินของไทยไว้
ความหมายของคำอุทาน
คำอุทาน หมาย ถึง คำที่แสดงอารมณ์ของผู้พูดในขณะที่ตกใจ ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ หรืออาจจะเป็นคำที่ใช้เสริมคำพูด เช่นคำว่า อุ๊ย เอ๊ะ ว้าย โธ่ อนิจจา อ๋อ เป็นต้น เช่น
- เฮ้อ! ค่อยยังชั่วที่เขาปลอดภัย
- เมื่อไรเธอจะตัดผมตัดเผ้าเสียทีจะได้ดูเรียบร้อย
คำอุทาน หมาย ถึง คำที่แสดงอารมณ์ของผู้พูดในขณะที่ตกใจ ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ หรืออาจจะเป็นคำที่ใช้เสริมคำพูด เช่นคำว่า อุ๊ย เอ๊ะ ว้าย โธ่ อนิจจา อ๋อ เป็นต้น เช่น
- เฮ้อ! ค่อยยังชั่วที่เขาปลอดภัย
- เมื่อไรเธอจะตัดผมตัดเผ้าเสียทีจะได้ดูเรียบร้อย
7. คำอุทาน
ชนิดของคำอุทาน
คำอุทานแบ่งเป็น 2 ชนิด ดังนี้
1. คำอุทานบอกอาการ เป็นคำอุทานที่แสดงอารมณ์ และความรู้สึกของผู้พูด เช่น
ตกใจ ใช้คำว่า วุ้ย ว้าย แหม ตายจริง
ประหลาดใจ ใช้คำว่า เอ๊ะ หือ หา
รับรู้ เข้าใจ ใช้คำว่า เออ อ้อ อ๋อ
เจ็บปวด ใช้คำว่า โอ๊ย โอย อุ๊ย
สงสาร เห็นใจ ใช้คำว่า โธ๋ โถ พุทโธ่ อนิจจา
ร้องเรียก ใช้คำว่า เฮ้ย เฮ้ นี่
โล่งใจ ใช้คำว่า เฮอ เฮ้อ
โกรธเคือง ใช้คำว่า ชิชะ แหม
2. คำอุทานเสริมบท เป็น คำอุทานที่ใช้เป็นคำสร้อยหรือคำเสริมบทต่างๆ คำอุทานประเภทนี้บางคำเสริมคำที่ไม่มีความหมายเพื่อยืดเสียงให้ยาวออกไป บางคำก็เพื่อเน้นคำให้กระชับหนักแน่น เช่น
- เดี๋ยวนี้มือไม้ฉันมันสั่นไปหมด
- หนังสือหนังหาเดี๋ยวนี้ราคาแพงมาก
- พ่อแม่ไม่ใช่หัวหลักหัวตอนะ
หน้าที่ของคำอุทาน มีดังนี้คือ
1. ทำหน้าที่แสดงความรู้สึกของผู้พูด เช่น
- ตายจริง! ฉันลืมเอากระเป๋าสตางค์มา
- โธ่! เธอคงจะหนาวมากละซิ
- เอ๊ะ! ใครกันที่นำดอกไม้มาวางไว้ที่โต๊ะของฉัน
2. ทำหน้าที่เพิ่มน้ำหนักของคำ ซึ่งได้แก่คำอุทานเสริมบท เช่น
- ทำเสร็จเสียทีจะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป
- เมื่อไรเธอจะหางงหางานทำเสียที
- เธอเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร
ชนิดของคำอุทาน
คำอุทานแบ่งเป็น 2 ชนิด ดังนี้
1. คำอุทานบอกอาการ เป็นคำอุทานที่แสดงอารมณ์ และความรู้สึกของผู้พูด เช่น
ตกใจ ใช้คำว่า วุ้ย ว้าย แหม ตายจริง
ประหลาดใจ ใช้คำว่า เอ๊ะ หือ หา
รับรู้ เข้าใจ ใช้คำว่า เออ อ้อ อ๋อ
เจ็บปวด ใช้คำว่า โอ๊ย โอย อุ๊ย
สงสาร เห็นใจ ใช้คำว่า โธ๋ โถ พุทโธ่ อนิจจา
ร้องเรียก ใช้คำว่า เฮ้ย เฮ้ นี่
โล่งใจ ใช้คำว่า เฮอ เฮ้อ
โกรธเคือง ใช้คำว่า ชิชะ แหม
2. คำอุทานเสริมบท เป็น คำอุทานที่ใช้เป็นคำสร้อยหรือคำเสริมบทต่างๆ คำอุทานประเภทนี้บางคำเสริมคำที่ไม่มีความหมายเพื่อยืดเสียงให้ยาวออกไป บางคำก็เพื่อเน้นคำให้กระชับหนักแน่น เช่น
- เดี๋ยวนี้มือไม้ฉันมันสั่นไปหมด
- หนังสือหนังหาเดี๋ยวนี้ราคาแพงมาก
- พ่อแม่ไม่ใช่หัวหลักหัวตอนะ
หน้าที่ของคำอุทาน มีดังนี้คือ
1. ทำหน้าที่แสดงความรู้สึกของผู้พูด เช่น
- ตายจริง! ฉันลืมเอากระเป๋าสตางค์มา
- โธ่! เธอคงจะหนาวมากละซิ
- เอ๊ะ! ใครกันที่นำดอกไม้มาวางไว้ที่โต๊ะของฉัน
2. ทำหน้าที่เพิ่มน้ำหนักของคำ ซึ่งได้แก่คำอุทานเสริมบท เช่น
- ทำเสร็จเสียทีจะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป
- เมื่อไรเธอจะหางงหางานทำเสียที
- เธอเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร
3. ทำหน้าที่ประกอบข้อความในคำประพันธ์ เช่น
- แมวเอ๋ยแมวเหมียว
- มดเอ๋ยมดแดง
- กอ เอ๋ย กอไก่
- แมวเอ๋ยแมวเหมียว
- มดเอ๋ยมดแดง
- กอ เอ๋ย กอไก่
2. บทที่ 2 การตัดต่อสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา
เรื่องชนิดของคำไทย ผ่านโปรแกรม Corel Video
Studio ProX7
Corel
VideoStudio Pro X7 เป็นโปรแกรมตัดต่อวีดีโอที่ใช้งานไม่ยากจนเกินไปแม้ผู้ที่เริ่มใช้งานก็สามารถที่จะสร้างวีดีโอได้เหมือนกับผู้ที่มีประสบการณ์ตัดต่อวีดีโอมานานโปรแกรมนี้มีเครื่องมือต่าง
ๆ สำหรับตัดต่อวีดีโออย่างครบถ้วน เริ่มตั้งแต่จับภาพจากกล้องเข้าคอมพิวเตอร์
ตัดต่อวีดีโอ ใส่ Effect ต่าง ๆ
แทรกดนตรีประกอบ แทรกคาบรรยาย ไปจนถึงบันทึกวีดีโอที่ตัดต่อกลับลง VCD DVD หรือแม้กระทั่งเผยแพร่ผลงานทางเว็บ
2.1 บทที่ 2 ตอน 2 การตัดต่อ
ปรับแต่งวิดิทัศน์
ในการตัดต่อวิดีโอบน Corel
VideoStudio นั้น ควรทำความเข้าใจเรื่องการใช้งานคำสั่งเกี่ยวกับคลิป
และคำสั่งเกี่ยวกับ Project นั้น
Storyboard และ Timeline เครื่องมือสำหรับตัดต่อวีดีโอ
Storyboard และ Timeline ใน VideoStudio เป็นเครื่องมือหลักสำหรับทำงานร่วมกับคลิปวิดีโอไม่ว่าจะเป็นการลำดับเรื่องราว
การตัดต่อคลิปวิดีโอ รวมทั้งการทำงานกับคลิปเสียงในงานวิดีโอหรือการแทรกเทคนิคพิเศษแบบต่างๆด้วย
โดยหน้าต่างนี้จะแบ่งออกเป็น 2 หมวด ด้วยกัน
1) Storyboard ใช้สำหรับเป็นมุมมองการวางโครงเรื่องและใส่ลูกเล่นพื้นฐานเข้าไป
โดยมุมมองนี้จะใช้งานง่ายกว่ามุมมอง Timeline แต่การใช้งานสามารถทำได้ระดับพื้นฐานเท่านั้น
2) Timeline จะเหมาะกับงานตัดต่อที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น
เช่น การใส่เสียงให้กับวิดีโอและใส่เทคนิคการซ้อนภาพแบบ Overlay เป็นต้น
นอกจากการตัดต่อวีดีโอบน Storyboard and Timeline วิธีที่ง่ายกว่า คือการตัดต่อวีดีโอบนหน้าต่าง Preview Window ที่ดูผลการตัดต่อและฟังเสียงวีดีโอไปด้วย
ทำให้ทราบช่วงเวลาติดต่อที่แม่นยำ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 วิธีด้วยกัน
1) กำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดด้วย
Mark-in และ Mark-out
2) กำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดด้วย
Trim Markers
ส่วนประกอบของหน้าต่าง Preview Window กันก่อน ซึ่งดูภาพวีดีโอที่เรากำลังตัดต่อ
เพื่อเลือกตำแหน่งวีดีโอ และปรับแต่งด้วยเครื่องมือตามที่ต้องการอีกด้วย
1) Scrubber : เลื่อนเพื่อให้แสดงคลิป ที่ตำแหน่งและเวลาต่างๆ
2) Trim markers : กำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของคลิป
3) Play : เล่นไฟล์ภาพวีดีโอ
4) Home : ไปยังจุดเริ่มต้นคลิป
5) Previous : ย้อนกลับ
6) Next : ไปข้างหน้า
7) End :ไปยังจุดสิ้นสุดคลิป
8) Repeat : เล่นวนรอบ
9) System volume : ปิด-เปิด เพิ่ม-ลด เสียง
10) Mark-in : กำหนดจุดเริ่มต้นของคลิป
11) Mark-out : กำหนดจุดสิ้นสุดของคลิป
12) Sprit clip : ตัด แบ่ง คลิป
13) Enlarge : ย่อ-ขยาย หน้าต่าง Preview Window
14) Project-clip : สลับการเล่นคลิปทั้งหมดและเฉพาะตำแหน่งคลิปที่เลือก
15) Timecode : ช่วงเวลาในการเล่นคลิป
1) Scrubber : เลื่อนเพื่อให้แสดงคลิป ที่ตำแหน่งและเวลาต่างๆ
2) Trim markers : กำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของคลิป
3) Play : เล่นไฟล์ภาพวีดีโอ
4) Home : ไปยังจุดเริ่มต้นคลิป
5) Previous : ย้อนกลับ
6) Next : ไปข้างหน้า
7) End :ไปยังจุดสิ้นสุดคลิป
8) Repeat : เล่นวนรอบ
9) System volume : ปิด-เปิด เพิ่ม-ลด เสียง
10) Mark-in : กำหนดจุดเริ่มต้นของคลิป
11) Mark-out : กำหนดจุดสิ้นสุดของคลิป
12) Sprit clip : ตัด แบ่ง คลิป
13) Enlarge : ย่อ-ขยาย หน้าต่าง Preview Window
14) Project-clip : สลับการเล่นคลิปทั้งหมดและเฉพาะตำแหน่งคลิปที่เลือก
15) Timecode : ช่วงเวลาในการเล่นคลิป
การกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของคลิป
การตัดคลิปในโปรแกรม Corel VideoStudio จะมีผลภายในโปรแกรมเท่านั้น
ไม่มีผลกับคลิปวีดีโอต้นฉบับ เราสามารถกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของคลิปได้ 2 วิธี
1 กำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดด้วย
Mark-in และ Mark-out
1)
คลิกเลือกคลิปที่จะทำงาน
2) เลื่อน Trim Mark กำหนดจุดเริ่มต้นการตัดคลิป
3) ใช้ปุ่ม Previous หรือ Next เพื่อเลื่อนหาจุดที่ต้องการรายละเอียดมากขึ้น
4) คลิกปุ่ม Mark-in เพื่อกำหนดจุดเริ่มต้น
5) เลื่อน Trim Mark กำหนดจุดเริ่มต้นการตัดคลิป
6) คลิกปุ่ม Mark-out เพื่อกำหนดจุดสิ้นสุด
2) เลื่อน Trim Mark กำหนดจุดเริ่มต้นการตัดคลิป
3) ใช้ปุ่ม Previous หรือ Next เพื่อเลื่อนหาจุดที่ต้องการรายละเอียดมากขึ้น
4) คลิกปุ่ม Mark-in เพื่อกำหนดจุดเริ่มต้น
5) เลื่อน Trim Mark กำหนดจุดเริ่มต้นการตัดคลิป
6) คลิกปุ่ม Mark-out เพื่อกำหนดจุดสิ้นสุด
2 กำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดอย่างรวดเร็วด้วย
Trim Marker
1) คลิกที่ปุ่ม Trim Marker ฝั่งซ้าย เลื่อนมายังตำแหน่งแรกของคลิปที่จะตัด
2) คลิกที่ปุ่ม Trim Marker ฝั่งขวา เลื่อนมายังตำแหน่งที่สองของคลิปที่จะตัด
1) คลิกที่ปุ่ม Trim Marker ฝั่งซ้าย เลื่อนมายังตำแหน่งแรกของคลิปที่จะตัด
2) คลิกที่ปุ่ม Trim Marker ฝั่งขวา เลื่อนมายังตำแหน่งที่สองของคลิปที่จะตัด
การแบ่งช่วงคลิปวีดีโอ
เรายังสามารถแบ่งคลิปออกเป็นตอนๆ เพื่อแทรกเทคนิคการเปลี่ยนฉากเข้าไป หรืออยากจะตัดคลิปแต่ต้องการให้เหลือไว้ก็ทำได้
เรายังสามารถแบ่งคลิปออกเป็นตอนๆ เพื่อแทรกเทคนิคการเปลี่ยนฉากเข้าไป หรืออยากจะตัดคลิปแต่ต้องการให้เหลือไว้ก็ทำได้
1) เลือกคลิปที่ต้องการแบ่ง
2) เลื่อน Scrubber ไปยังตำแหน่งที่ต้องการแบ่งคลิป
3) คลิปที่ถูกแบ่งแล้วเป็น 2 ส่วน
2) เลื่อน Scrubber ไปยังตำแหน่งที่ต้องการแบ่งคลิป
3) คลิปที่ถูกแบ่งแล้วเป็น 2 ส่วน
การปรับแต่งคลิปวีดีโอด้วยเครื่องมือใน Option Panel
เราสามารถดับเบิลคลิกวีดีโอบน Timelime และแสดงเครื่องมือ Option Panel ในคลิปวีดีโอที่ถูกเลือก
เราสามารถดับเบิลคลิกวีดีโอบน Timelime และแสดงเครื่องมือ Option Panel ในคลิปวีดีโอที่ถูกเลือก
1) Video
duration
: แสดงความยาวของคลิป หรือเลือกกำหนดเวลาแสดงคลิป
2) Volume : ปรับระดับความดังของเสียง
3) Rotate video : ปรับความเอียงของภาพ
4) Color correction : ตกแต่งสีและความสว่างของคลิปวีดีโอ
5) Speed time lapse : ปรับความเร็วในการแสดงคลิปวีดีโอ
6) Variable speed : ปรับตั้งค่าความเร็วคลิปวีดีโอ
7) Reverse video : ทำให้คลิปเล่นถอยหลัง
8) Sprit audio : แยกเสียงออกจากคลิปวีดีโอ
9) Sprit by Scense : ปรับแต่งคลิปวีดีโอที่แบ่ง
10) Multitrim video : แยกคลิปออกเป็นหลายๆ คลิป
11) Resampling option :
2) Volume : ปรับระดับความดังของเสียง
3) Rotate video : ปรับความเอียงของภาพ
4) Color correction : ตกแต่งสีและความสว่างของคลิปวีดีโอ
5) Speed time lapse : ปรับความเร็วในการแสดงคลิปวีดีโอ
6) Variable speed : ปรับตั้งค่าความเร็วคลิปวีดีโอ
7) Reverse video : ทำให้คลิปเล่นถอยหลัง
8) Sprit audio : แยกเสียงออกจากคลิปวีดีโอ
9) Sprit by Scense : ปรับแต่งคลิปวีดีโอที่แบ่ง
10) Multitrim video : แยกคลิปออกเป็นหลายๆ คลิป
11) Resampling option :
การตกแต่งสีและความสว่างให้คลิปวีดีโอ
เครื่องมือ Color Correction มีประโยชน์มากสำหรับภาพวีดีโอที่ถ่ายแล้วมืดไม่ค่อยชัด สามารถปรับระดับสี ความมืด สว่าง ได้ตามต้องการปรับระดับสีได้ตามต้องการโดยการเลื่อน Slide Bar เพิ่มลดตามโหมดนั้นๆ
Hue : ปรับระดับสีสะท้อนมาจากวัตถุ
Satulation : ปรับระดับความเข้ม-จาง ของสี
Brightness : ปรับความสว่าง-มืด ของสี
Contrast : ปรับระดับความเข้มของแสง
Gamma : ปรับความเข้มแกมม่าของสี
เครื่องมือ Color Correction มีประโยชน์มากสำหรับภาพวีดีโอที่ถ่ายแล้วมืดไม่ค่อยชัด สามารถปรับระดับสี ความมืด สว่าง ได้ตามต้องการปรับระดับสีได้ตามต้องการโดยการเลื่อน Slide Bar เพิ่มลดตามโหมดนั้นๆ
Hue : ปรับระดับสีสะท้อนมาจากวัตถุ
Satulation : ปรับระดับความเข้ม-จาง ของสี
Brightness : ปรับความสว่าง-มืด ของสี
Contrast : ปรับระดับความเข้มของแสง
Gamma : ปรับความเข้มแกมม่าของสี
หากต้องการปรับค่ากลับมาเหมือนเดิม ให้ดับเบิลคลิกที่ Slide
bar นั้นๆ สังเกตค่าเดิมที่ยังไม่ถูกตั้งค่าตรง Slide bar จะมีค่าเป็น 0
การปรับความเร็วในการแสดงคลิปวีดีโอ
การปรับความเร็วของคลิปวีดีโอมีผลช่วยเพิ่มความรู้สึกกับผู้ชมได้เป็นอย่างดี หากปรับให้เร็วขึ้นจะช่วยให้ตื่นเต้น สนุก ขบขัน แต่ถ้าปรับให้ช้าลงก็จะช่วยในให้รู้สึกถึงความเศร้า ซึ้ง และโรแมนติกมีวิธีการปรับอยู่ 2 วิธี คือ
1 ปรับความเร็วการแสดงวีดีโอด้วย Seed/Time Lapse มีขั้นตอน
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
อยู่ใน option
panelการปรับความเร็วของคลิปวีดีโอมีผลช่วยเพิ่มความรู้สึกกับผู้ชมได้เป็นอย่างดี หากปรับให้เร็วขึ้นจะช่วยให้ตื่นเต้น สนุก ขบขัน แต่ถ้าปรับให้ช้าลงก็จะช่วยในให้รู้สึกถึงความเศร้า ซึ้ง และโรแมนติกมีวิธีการปรับอยู่ 2 วิธี คือ
1 ปรับความเร็วการแสดงวีดีโอด้วย Seed/Time Lapse มีขั้นตอน
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
2) แสดงความยาวของคลิปที่ปรับความเร็วแล้ว
3) แสดงการเปลี่ยนเฟรมวีดีโอ
4) แสดงค่าการปรับความเร็ววีดีโอมีค่าเป็น เปอร์เซ็นต์ สามารถปรับค่าได้ถึง 00 เปอร์เซ็นต์
3) แสดงการเปลี่ยนเฟรมวีดีโอ
4) แสดงค่าการปรับความเร็ววีดีโอมีค่าเป็น เปอร์เซ็นต์ สามารถปรับค่าได้ถึง 00 เปอร์เซ็นต์
3. บทที่ 3 การแปลงวีดิทัศน์ที่ตัดต่อเสร็จไปใช้งาน
ขั้นตอนสุดท้ายการทำงานวิดีโอที่สำคัญคือการนำไฟล์วิดีโอที่ตัดต่อเสร็จแล้วไปใช้งาน
ซึ่งใน VideoStudio ก็มีเครื่องมือช่วยในการแปลงไฟล์วิดีโอให้เป็นไฟล์และสื่อบันทึก ข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ ได้หลากหลายทีเดียว ในปัจจุบันสามารถนำสื่อวิดีโอออกไปเผยแพร่ได้หลายทางตั้งแต่ทีวี
คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่น MP4
บนโทรศัพท์มือถือ หรือเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังสามารถเก็บไว้ได้หลายรูปแบบทั้งแผ่น วีซีดี แผ่นดีวีดี หรือเทคโนโลยีใหม่อย่างแผ่นบลูเรย์
(Blu-Ray) เป็นต้น
1. วิดีโอกับการนำไปใช้ในรูปแบบต่าง
ๆ
การนำเสนอผลงานผ่านโปรแกรม VideoStudio นั้น สามารถรองรับการแปลงวิดีโอเป็นไฟล์ฟอร์แมตต่างๆหลายรูปแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับการนำไปใช้งานตามที่นักเรียนต้องการโดยทำงานผ่านคำสั่งในส่วนของแท็บ Share ดังนี้
การนำเสนอผลงานผ่านโปรแกรม VideoStudio นั้น สามารถรองรับการแปลงวิดีโอเป็นไฟล์ฟอร์แมตต่างๆหลายรูปแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับการนำไปใช้งานตามที่นักเรียนต้องการโดยทำงานผ่านคำสั่งในส่วนของแท็บ Share ดังนี้
1.1 สร้างไฟล์วิดีโอรูปแบบต่างๆเก็บในคอมพิวเตอร์ ขั้นตอนแสดงต่อไปนี้
1) คลิกเมาส์ที่แท็บ Share
2) เลือกสร้างไฟล์วิดีโอรูปแบบต่างๆ เก็บในคอมพิวเตอร์
3) สร้างไฟล์วิดีโอรูปแบบต่างๆ เก็บในคอมพิวเตอร์ เก็บไว้เป็นไฟล์วิดีโอต้นฉบับสำหรับไปใช้ตัดต่อ ครั้งต่อไป ได้แก่ AVI, MPEG-2, AVC/H. 264, WMV, Audio, Custom เป็นต้น
1) คลิกเมาส์ที่แท็บ Share
2) เลือกสร้างไฟล์วิดีโอรูปแบบต่างๆ เก็บในคอมพิวเตอร์
3) สร้างไฟล์วิดีโอรูปแบบต่างๆ เก็บในคอมพิวเตอร์ เก็บไว้เป็นไฟล์วิดีโอต้นฉบับสำหรับไปใช้ตัดต่อ ครั้งต่อไป ได้แก่ AVI, MPEG-2, AVC/H. 264, WMV, Audio, Custom เป็นต้น
1.2 สร้างวิดีโอเพื่อไปใช้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ขั้นตอนแสดงต่อไปนี้
1) คลิกเมาส์ที่แท็บ Share
2) เลือก วิดีโอเพื่อไปใช้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
3) สร้างไฟล์รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ DV, HDV, Mobile Device เป็นต้น
1) คลิกเมาส์ที่แท็บ Share
2) เลือก วิดีโอเพื่อไปใช้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
3) สร้างไฟล์รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ DV, HDV, Mobile Device เป็นต้น
1.3
สร้างไฟล์วีดีโอที่ใช้ในการเผยแพร่ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ขั้นตอนแสดงต่อไปนี้
1) คลิกเมาส์ที่แท็บ Share
2) เลือก ไฟล์วีดีโอที่ใช้ในการเผยแพร่ผ่านทางอินเตอร์เน็ต
3) สร้างไฟล์รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ Youtube, Facebook, Flickr เป็นต้น
1) คลิกเมาส์ที่แท็บ Share
2) เลือก ไฟล์วีดีโอที่ใช้ในการเผยแพร่ผ่านทางอินเตอร์เน็ต
3) สร้างไฟล์รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ Youtube, Facebook, Flickr เป็นต้น
1.4
สร้างสื่อบันทึกเทคโนโลยีใหม่ๆ ขั้นตอนแสดงต่อไปนี้
1) คลิกเมาส์ที่แท็บ Share
2) เลือก ไฟล์วีดีโอที่ใช้ในสื่อบันทึกเทคโนโลยีใหม่ๆ แบบต่าง
3) สร้างไฟล์รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ DVD, AVCHD, Blue-ray เป็นต้น
1) คลิกเมาส์ที่แท็บ Share
2) เลือก ไฟล์วีดีโอที่ใช้ในสื่อบันทึกเทคโนโลยีใหม่ๆ แบบต่าง
3) สร้างไฟล์รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ DVD, AVCHD, Blue-ray เป็นต้น
1.5
สร้างรูปแบบไฟล์วีดีโอแบบ 3D ขั้นตอนแสดงต่อไปนี้
1) คลิกเมาส์ที่แท็บ Share
2) เลือก (3D Movie)
3) สร้างไฟล์รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ MPEG-2, AVC/H.264, WMV เป็นต้น
1) คลิกเมาส์ที่แท็บ Share
2) เลือก (3D Movie)
3) สร้างไฟล์รูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ MPEG-2, AVC/H.264, WMV เป็นต้น
2. แปลงงานวิดีโอเป็นไฟล์วิดีโอรูปแบบต่าง
ๆ
นอกจากการนำเสนองานวิดีโอในรูปแบบของวีซีดีและดีวีดีแล้ว ยังสามารถนำเสนอในรูปแบบอื่นๆอีก เช่น ไฟล์วิดีโอสำหรับเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต บน iPad iPhone บนโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ซึ่งในกรณีเหล่านี้ จะต้องแปลงไฟล์วิดีโอออกมาให้มีขนาดเหมาะสมกับการใช้งานให้มากที่สุด ซึ่งใน VideoStudio ก็มีรูปแบบไฟล์งานวิดีโอชนิดต่างๆไว้ให้เลือกใช้ หลังสร้างงานวิดีโอจากโปรแกรม VideoStudio เรียบร้อยแล้ว ในที่นี้จะแปลงงานวิดีโอที่ได้เป็นไฟล์วิดีโอประเภทต่างๆเพื่อนำไปใช้ต่อไปโดยมีขั้นตอนง่ายๆดังนี้
นอกจากการนำเสนองานวิดีโอในรูปแบบของวีซีดีและดีวีดีแล้ว ยังสามารถนำเสนอในรูปแบบอื่นๆอีก เช่น ไฟล์วิดีโอสำหรับเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต บน iPad iPhone บนโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ซึ่งในกรณีเหล่านี้ จะต้องแปลงไฟล์วิดีโอออกมาให้มีขนาดเหมาะสมกับการใช้งานให้มากที่สุด ซึ่งใน VideoStudio ก็มีรูปแบบไฟล์งานวิดีโอชนิดต่างๆไว้ให้เลือกใช้ หลังสร้างงานวิดีโอจากโปรแกรม VideoStudio เรียบร้อยแล้ว ในที่นี้จะแปลงงานวิดีโอที่ได้เป็นไฟล์วิดีโอประเภทต่างๆเพื่อนำไปใช้ต่อไปโดยมีขั้นตอนง่ายๆดังนี้
2.1 การสร้างรูปแบบไฟล์ AVI ขั้นตอนแสดงต่อไปนี้
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
2) เลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บที่ปุ่ม
3) เลือกชนิดไฟล์วิดีโอที่ต้องการแปลงออกมา คลิกที่ปุ่ม
4) ไปยังตำแหน่งที่จะเก็บไฟล์วิดีโอ คลิกที่ปุ่ม
5) ตั้งชื่อให้กับไฟล์วิดีโอและคลิกเมาส์ที่ปุ่ม Save
6) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม โปรแกรมทำการแปลงงานออกมาเป็นไฟล์วิดีโอ.
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
2) เลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บที่ปุ่ม
3) เลือกชนิดไฟล์วิดีโอที่ต้องการแปลงออกมา คลิกที่ปุ่ม
4) ไปยังตำแหน่งที่จะเก็บไฟล์วิดีโอ คลิกที่ปุ่ม
5) ตั้งชื่อให้กับไฟล์วิดีโอและคลิกเมาส์ที่ปุ่ม Save
6) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม โปรแกรมทำการแปลงงานออกมาเป็นไฟล์วิดีโอ.
3. สร้างไฟล์เสียงเพียงอย่างเดียว
กรณีงานวิดีโอที่สร้างเป็นงานเกี่ยวกับการสัมมนา หรือการบรรยายที่ต้องการฟังแค่เสียงบันทึกหรือเป็นคลิปมิวสิกวิดีโอที่ต้องการเฉพาะเสียงเพลงไปเปิดฟังเท่านั้น สามารถแยกไฟล์เสียงออกมาจากคลิปวิดีโอ เป็นเฉพาะไฟล์เสียงอย่างเดียวได้ ดังขั้นตอน ต่อไปนี้
กรณีงานวิดีโอที่สร้างเป็นงานเกี่ยวกับการสัมมนา หรือการบรรยายที่ต้องการฟังแค่เสียงบันทึกหรือเป็นคลิปมิวสิกวิดีโอที่ต้องการเฉพาะเสียงเพลงไปเปิดฟังเท่านั้น สามารถแยกไฟล์เสียงออกมาจากคลิปวิดีโอ เป็นเฉพาะไฟล์เสียงอย่างเดียวได้ ดังขั้นตอน ต่อไปนี้
3.1 การสร้างรูปแบบไฟล์ AVI
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
2) เลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บที่ปุ่ม
3) เลือกชนิดไฟล์วิดีโอที่ต้องการแปลงออกมา คลิกที่ปุ่ม
4) ไปยังตำแหน่งที่จะเก็บไฟล์วิดีโอ คลิกที่ปุ่ม
5) ตั้งชื่อให้กับไฟล์วิดีโอและคลิกเมาส์ที่ปุ่ม Save
6) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม โปรแกรมทำการแปลงงานออกมาเป็นไฟล์วิดีโอ
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
2) เลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บที่ปุ่ม
3) เลือกชนิดไฟล์วิดีโอที่ต้องการแปลงออกมา คลิกที่ปุ่ม
4) ไปยังตำแหน่งที่จะเก็บไฟล์วิดีโอ คลิกที่ปุ่ม
5) ตั้งชื่อให้กับไฟล์วิดีโอและคลิกเมาส์ที่ปุ่ม Save
6) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม โปรแกรมทำการแปลงงานออกมาเป็นไฟล์วิดีโอ
3.2
สร้างไฟล์วิดีโอเพื่อเผยแพร่บนมือถือหรืออุปกรณ์พกพา ขั้นตอนแสดงต่อไปนี้
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
2) เลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บที่ปุ่ม
3) เลือกชนิดไฟล์วิดีโอที่ต้องการแปลงออกมา คลิกที่ปุ่ม
4) ไปยังตำแหน่งที่จะเก็บไฟล์วิดีโอ คลิกที่ปุ่ม
5) ตั้งชื่อให้กับไฟล์วิดีโอและคลิกเมาส์ที่ปุ่ม Save
6) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม โปรแกรมทำการแปลงงานออกมาเป็นไฟล์วิดีโอ
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
2) เลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บที่ปุ่ม
3) เลือกชนิดไฟล์วิดีโอที่ต้องการแปลงออกมา คลิกที่ปุ่ม
4) ไปยังตำแหน่งที่จะเก็บไฟล์วิดีโอ คลิกที่ปุ่ม
5) ตั้งชื่อให้กับไฟล์วิดีโอและคลิกเมาส์ที่ปุ่ม Save
6) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม โปรแกรมทำการแปลงงานออกมาเป็นไฟล์วิดีโอ
3.3
การเผยแพร่ไฟล์วิดีโอบน Facebook ขั้นตอนแสดงต่อไปนี้
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
2) เลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บที่ปุ่ม
3) เลือกชนิดไฟล์วิดีโอที่ต้องการแปลงออกมา คลิกที่ปุ่ม
4) คลิกที่ปุ่ม เพื่อเข้าสู่ระบบ facebook
5) ใส่ email และ password เพื่อเข้าสู่ระบบ
6) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม ตกลง
7) คลิกเมาส์เลือก รูปแบบที่ต้องการเผยแพร่
8) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม ตกลง
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
2) เลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บที่ปุ่ม
3) เลือกชนิดไฟล์วิดีโอที่ต้องการแปลงออกมา คลิกที่ปุ่ม
4) คลิกที่ปุ่ม เพื่อเข้าสู่ระบบ facebook
5) ใส่ email และ password เพื่อเข้าสู่ระบบ
6) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม ตกลง
7) คลิกเมาส์เลือก รูปแบบที่ต้องการเผยแพร่
8) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม ตกลง
3.4
การเผยแพร่ไฟล์วิดีโอบน YouTube ขั้นตอนแสดงต่อไปนี้
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
2) เลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บที่ปุ่ม
3) เลือกชนิดไฟล์วิดีโอที่ต้องการแปลงออกมา คลิกที่ปุ่ม
4) คลิกที่ปุ่ม เพื่อเข้าสู่ระบบ facebook
5) ใส่ email และ password เพื่อเข้าสู่ระบบ
6) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม ยอมรับ
1) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม
2) เลือกรูปแบบไฟล์ที่ต้องการจัดเก็บที่ปุ่ม
3) เลือกชนิดไฟล์วิดีโอที่ต้องการแปลงออกมา คลิกที่ปุ่ม
4) คลิกที่ปุ่ม เพื่อเข้าสู่ระบบ facebook
5) ใส่ email และ password เพื่อเข้าสู่ระบบ
6) คลิกเมาส์ที่ปุ่ม ยอมรับ
บทที่ 3
ขั้นตอนการดำเนินงาน
รายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงาน มีดังต่อไปนี้
1.1.เสนอหัวข้อโครงงาน
-
เสนอหัวข้อ เรื่อง โครงการพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา
เรื่องชนิดของคำไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ศึกษาค้นคว้าและนำเสนอขออนุมัติต่ออาจารย์ที่ปรึกษา
1.2.ศึกษาและรวบรวมเนื้อหาที่จะต้องใช้ผลิตสื่อ
ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของคำไทยจากทางหนังสือและอินเตอร์เน็ต
1.3.วิเคราะห์จัดแยกข้อมูลเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน
เพื่อใช้ในการสร้างเนื้อหาในส่วนต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
-
วิเคราะห์จัดแยกข้อมูลเป็นหมวดหมู่ มีทั้งหมด 7 บท ดังต่อไปนี้
-
1.คำนาม
-
2.คำสรรพนาม
-
3.คำกริยา
-
4.คำวิเศษณ์
-
5.คำบุรพบท
-
6.คำสันธาน
-
7.คำอุทาน
1.4.พัฒนาสื่อวีดิทัศน์เพื่อสอนการใช้งานโปรแกรม
Corel Video Studio ProX7 ผ่านทาง YouTubeตามที่ได้ออกแบบ
-
สร้างวิดีโอเรื่องชนิดของคำไทย ผ่านโปรแกรม Corel Video Studio ProX7 ออกแบบงานตามที่เราต้องการ
1.5.สร้างแบบประเมินด้านต่างๆและนำไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิ
3 ท่าน ประเมินชิ้นงาน แล้วทำการปรับปรุงต้นแบบชิ้นงานตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้แนะนำ
-
สร้างแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ แบบมาตราฐานส่วนประมาณค่า 5
ระดับ ของลิเคริ์ท คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด
-
ประเมินคุณภาพชิ้นงาน โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิ
1.6.ทดลองการใช้ศึกษาผ่านเว็บยูทูปโดยทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง
และนำข้อมูลมาวิเคราะห์แก้ไขปรับปรุง
- ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน
เรื่อง โครงงานการพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา เรื่องชนิดของคำไทย มีวิธีทดสอบ
ดังนี้
1.
ให้ผู้เรียนเข้า https://www.youtube.com/watch?v=-VOFcN6D4UI&feature=youtu.be
2.
ผู้เรียนกดเข้าลิ้งค์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน
1.7.จัดทำรายงาน นำเสนอโครงงาน
และเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ โดยผ่าน
- รวบรวม และวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์
- จัดทำรูปเล่มรายงาน
เพื่อนำเสนอโครงงานต่ออาจารย์ที่ปรึกษา
- เผยแพร่สื่อวิดิทัศน์ ผ่านทาง https://www.youtube.com/watch?v=-VOFcN6D4UI&feature=youtu.be
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้ทราบและเข้าใจถึงหลักการในการผลิตสื่อวีดิทัศน์
ที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคและกระบวนการ ตลอดจนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการนำเสนอผลงาน
เรื่องอื่นๆ ต่อไป
2. ได้สื่อวีดิทัศน์ ที่สามารถเผยแพร่ ในการนำเสนอข้อมูล ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
3. ได้รับทักษะในการใช้เทคนิคต่างๆ ในโปรแกรม
สามารถปฏิบัติชิ้นงานด้านการนำเสนอ เพื่อสร้างสรรค์งานวิดีโอ
มีความเข้าใจและนำความรู้ไปใช้ศึกษาได้จริง
เรื่องที่ 1 แนวคิด หลักการ การตัดต่อ
1.
เขียน Storyboard
สิ่งแรกที่เราควรเรียนรู้ก่อนสร้างงานวิดีโอคือการเขียนStoryboard คือ
การจินตนาการฉากต่างๆ ก่อนที่จะถ่ายทำจริง ในการเขียน Storyboard อาจวิธีง่ายๆ ไม่ถึงขนาดวาดภาพปรกอบก็ได้
เพียงเขียนวัตถุประสงค์ของงานให้ชัดเจนว่าต้องการสื่ออะไรหรืองานประเภทไหน
จากนั้นดูว่าเราต้องการภาพอะไรบ้าง เขียนออกมาเป็นฉาก เรียงลำดับ 1, 2,
3,.......
2.
เตรียมองค์ประกอบต่างๆ ที่ต้องใช้
ในการทำงานวิดีโอเราจะต้องเตรียมองค์ประกอบต่างๆให้ครบถ้วน
ไม่ว่าจะเป็นไฟล์วิดีโอ ไฟล์ภาพนิ่ง ไฟล์เสียง หรือไฟล์ดนตรี
3. ตัดต่องานวิดีโอ
การตัดต่อคือการนำองค์ประกอบต่างๆ
ที่เตรียมไว้มาตัดต่อเป็นงานวิดีโอ งานวิดีโอจะออกมาดีน่าสนใจเพียงใดขึ้นอยู่กับการตัดต่อเป็นสำคัญ
4. ใส่เอ็ฟเฟ็กต์/ตัดต่อใส่เสียง
ในขั้นตอนการตัดต่อ เราจะต้องตกแต่งงานวิดีโอด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสี การใส่ข้อความ หรือเสียงดนตรี
ซึ่งจะช่วยให้งานของเรามีสีสัน และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
5. แปลงวิดีโอ
เพื่อนำไปใช้งานจริง
ขั้นตอนการแปลงวิดีโอเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ในการทำงานวิดีโอที่เราได้ทำเรียบร้อยแล้วนั้นไปใช้งาน โปรแกรม Corel Video
Studio ProX7 สามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น ทำเป็น VCD, DVD หรือเป็นไฟล์ WMV สำหรับนำเสนอทางอินเทอร์เน็ต
เรื่องที่ 2 การพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา
เรื่องชนิดของคำไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผ่านโปรแกรม Corel Video Studio ProX7
โปรแกรมCorel VideoStudio Pro X7
ส่วนประกอบต่างๆใน Corel
VideoStudio Pro X7
1 1.
เมื่อเข้าสู่โปรแกรม Corel VideoStudio Pro X7 จะเข้าสู่หน้าจอ ประกอบด้วย ดังรูป
1. Preview window : สำหรับแสดงผล
2. Library :
แถบเครื่องมือหลักที่ใช้ในการตัดต่อ
3. Timeline : เรียบเรียง / ตัดต่อวีดีโอคลิป
Edit Step : หน้าต่างสำหรับตัดต่อ
เป็นส่วนที่ใช้ในการตัดต่อวิดีโอ ซึ่งเราสามารถตัดต่อ แก้ไข
ใส่เทคนิคพิเศษ เพิ่มดนตรี เชื่อมต่อคลิปวิดีโอด้วยฉากต่างๆ ได้ตามที่เราต้องการ
รายละเอียดในส่วนของ Edit Step ประกอบด้วยดังรูป
1) Preview Window : หน้าต่างทำหน้าที่แสดงภาพ
2) Step panel : ส่วนเลือกการทำงานกับไฟล์วีดีโอตามลำดับ
3) Menu Bar : เลือกคำสั่งต่างๆ
4) Media Library : คลังภาพและเสียง
5) Storyboard and Timeline : หน้าต่างเรียบเรียงตัดต่อคลิปวิดีโอ
6) Tool Bar : ปุ่มเส้นทางลัดคำสั่งต่าง ๆ
7) Library Panel : แถบเครื่องมือหลักช่วยในการตัดต่อ
8) Option Panel : ส่วนรวบรวมคำสั่งหลักสำหรับตัดต่อวิดีโอ
Step Panel : ส่วนเลือกการทำงานกับไฟล์วิดีโอตามลำดับ
เป็นส่วนการทำงานหลักของโปรแกรม Corel video
studio ซึ่งจะลำดับการสร้างแก้ไข ได้แก่ การจับภาพ (capture) การตัดต่อ (edit) และการแปลงไฟล์ที่ทำเสร็จแล้ว
(Share)
แท็บ Capture : นำภาพวีดีโอจากแหล่งอื่น
เป็นการนำเข้าภาพวีดีโอจากแหล่งอุปกรณ์อื่นๆเช่น จากกล้องวีดีโอ โทรศัพท์มือถือ จากแผ่นซีดี
ดีวีดี กล้องเว็บแคม ดังรูปต่อไปนี้
แท็บ Edit
: เรียบเรียง / ตัดต่อวีดีโอ
เป็นการแก้ไข ปรับแต่ง ในการตัดต่อวีดีโอ ซึ่งเป็นส่วนหลักการทำงาน
ดังรูปต่อไปนี้
แท็บ Share : แปลงไฟล์วีดีโอนำไปใช้งาน
เป็นการบันทึกไฟล์ แปลงไฟล์ เพื่อนำไปใช้ในด้านต่างๆเช่น การบันทึกไฟล์ลงแผ่น ดีวีดี
บนเว็บไซด์ Youtube เป็นต้น ดังรูปต่อไปนี้
ขั้นตอนการพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา
เรื่องชนิดของคำไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
-
วิเคราะห์จัดแยกข้อมูลเป็นหมวดหมู่ มีทั้งหมด 7 บท
1. เปิดหน้าแรกตัวโปรแกรมพร้อมปฎิบัติงาน
2.ทำการเลือกไฟล์งานเข้ามาเพื่อตัดต่อวิดิทัศน์
3.หลังจากเลือกงานแล้ว ไฟล์งานจะมายังหน้าโปรแกรม
4. เลือกวิดิโอเคาท์ดาวน์เพื่อตัดต่อก่อนเข้าบทเรียน
5.ทำการตัดต่อวิดิทัศน์
โดยขั้นแรกใส่วิดิโอเคาท์ดาวน์ที่เลือกไว้ และดูตัวอย่างการเคาท์ดาวน์ด้านบน
6.ทำการตัดต่อวิดิทัศน์
ชนิดของคำไทย
7.การใส่ใส่เอฟเฟคเปลี่ยนภาพ
8.การใส่ตัวอักษร
บทที่ 4
ผลการดำเนินการ
วัตถุประสงค์
1.เพื่อพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา เรื่องชนิดของคำไทย
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
แสดงตัวอย่างผังการสร้างข้อสอบ
หรือ ตารางวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อการสร้างข้อสอบ
ตัวอย่าง
การคำนวณค่าประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะสื่อวีดีทัศน์
เกณฑ์การผ่านแต่ละวัตถุประสงค์เท่ากับร้อยละ
90
สูตรที่ใช้คำนวณ
90 ตัวแรก หมายถึง คะแนนรวมของผลการทดสอบที่ผู้เรียนแต่ละคน
ทำได้ถูกต้องจากการทดสอบหลังเรียน
N หมายถึง
จำนวนผู้เรียนทั้งหมดที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างในการคำนวณประสิทธิภาพครั้งนี้
R หมายถึง จำนวนคะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน
90 ตัวหลัง หมายถึง จำนวนร้อยละของผู้เรียนที่สามารถทำแบบทดสอบผ่านทุกวัตถุประสงค์
Y หมายถึง
จำนวนผู้เรียนที่สามารถทำแบบทดสอบผ่านทุกวัตถุประสงค์
N หมายถึง จำนวนผู้เรียนทั้งหมดที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างในการคำนวณประสิทธิภาพครั้งนี้
ตารางหาประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์
ผลการวิเคราะห์จากตาราง
แสดงถึงความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา
เรื่องชนิดของคำไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในด้านเนื้อหาและบทเรียน นักเรียนมีความรู้สึกว่าสื่อวีดิทัศน์นี้มีความสะดวกสบายในการใช้งาน
จัดหมวดหมู่เนื้อหาชัดเจนและด้านรูปแบบและภาพประกอบนักเรียนชอบกับการเรียนบทเรียนนี้
โดยให้ความเห็นว่าบทเรียนมีลักษณะเอื้อต่อการเรียนรู้
แสดงถึงความพึงพอใจของบุคคลทั่วไปที่มีต่อสื่อสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา
เรื่องชนิดของคำไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในด้านเนื้อหาและสื่อวีดิทัศน์
บุคคลทั่วไปมีความรู้สึกว่าสื่อวีดิทัศน์นี้มีความเข้าใจง่ายและสะดวกสบายในการใช้งาน
และด้านรูปแบบการนำเสนอและเสียง บุคคลทั่วไปชอบกับการเรียนรู้ในลักษณะแบบนี้
โดยให้ความเห็นว่าบทเรียนมีลักษณะเอื้อต่อการเรียนรู้แบบสื่อวีดิทัศน์
บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายและข้อเสนอแนะ
จาการศึกษาค้นคว้าการใช้งานโปรแกรมตัดต่อ
การพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา เรื่องชนิดของคำไทย
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในการศึกษาค้นคว้าซึ่งมีการสรุปผล
อภิปรายและข้อเสนอแนะ ดังนี้
สรุปผลการศึกษา
จาการศึกษาค้นคว้าการใช้งานโปรแกรมตัดต่อ
Corel Video Studio ProX7
เพื่อพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา เรื่องชนิดของคำไทย
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่าการจะเริ่มลงมือทำผลงานหนึ่งชิ้น ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง
เป็นขั้นตอนในการศึกษาหาข้อมูลเป็นระบบ
มีการวางแผนงาน โดยการผลิตสื่อเริ่มจากกำหนดแนวความคิด
เพื่อช่วยจำกัดขอบข่ายที่ควรให้ความน่าสนใจ กำหนดลักษณะการนำไปใช้
เพื่อพิจารณาว่าสื่อวีดิทัศน์ที่ผลิตขึ้นจะถูกนำไปใช้อย่างไร เช่น
เพื่อการศึกษาโดยตรง เพื่อใช้เป็นสื่อการสอน กำหนดจุดประสงค์ในการใช้งานโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ
วิเคราะห์ผู้รับสาร การเตรียมโครงร่างเนื้อหา การลงมือปฎิบัติงาน
ผลการประเมินของการเพื่อพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา เรื่องชนิดของคำไทย
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
คุณภาพของสื่อวีดิทัศน์
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา พบว่า การพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา เรื่องชนิดของคำไทย
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี
คุณภาพของสื่อวีดิทัศน์ โดยนักศึกษาที่มีต่อสื่อ
จำนวน 40 คน
พบว่า การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ เรื่อง การใช้โปรแกรมตัดต่อ Corel Video
Studio ProX7 มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก
อภิปรายผล
จากการพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา เรื่องชนิดของคำไทย
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า คุณภาพของสื่อวีดิทัศน์
ทั้งด้านเนื้อหาและด้านเทคโนโลยีการศึกษามีอยู่ในระดับดีมาก มีคุณภาพตามเกณฑ์
อีกทั้งนักเรียนที่ได้ทดลองใช้สื่อวีดิทัศน์ เรื่องชนิดของคำไทย มีผลการเรียนส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี
ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์เป็นไปตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวังที่ตั้งไว้
กล่าวคือ นักเรียนส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับดี แสดงให้เห็นว่า
ผู้เรียน มีความรู้ความจำ ความเข้าใจหลังจากที่เรียนด้วยสื่อวิดีทัศน์
อันเนื่องจากสื่อวีดิทัศน์ เป็นทางเลือกแนวใหม่สำหรับสื่อการเรียนการสอน
ที่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีขึ้น
เพราะโครงสร้างของสื่อวีดิทัศน์ เป็นสื่อประสมที่รวมทั้งภาพเคลื่อนไหว กราฟิก
เสียง ข้อความ ตัวอักษรผู้เรียนสามารถที่จะนำไปเรียนรู้ได้ด้วยตนเองช่วยตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลได้เป็นอย่างดี
เนื้อหาของแต่ละตอนสามารถทบทวนเนื้อหาบทเรียนได้ตามความต้องการ
ข้อเสนอแนะ
จากการพัฒนาสื่อวิดิทัศน์เพื่อการศึกษา เรื่องชนิดของคำไทย
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้
1.การผลิตสื่อวีดิทัศน์
ควรศึกษาเนื้อหา และวิเคราะห์เนื้อหาเป็นอย่างดี
เพื่อจะได้นำไปเป็นแนวทางการพิจารณาเลือกรูปแบบในการสร้างวื่อวิดีทัศน์ให้เหมาะสม
และช่วยประยุกต์การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ ในเนื้อหารายวิชาอื่นๆต่อไป
2.ในการสร้างสื่อวีดิทัศน์
ควรศึกษาถึงความพร้อมทั้งด้านบุคลากรในการผลิต ด้านซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการผลิต
ด้านอุปกรณ์ต่างๆ ตลอดจนความร่วมมือ จึงจะทำให้บรรลุเป้าหมายได้
3.ควรมีการพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ให้มากขึ้น
เพื่อให้ครู นักเรียน นวมถึงผู้ที่สนใจ สามารถนำสื่อประกอบการเรียนการสอน
ไปใช้ในการเรียนรู้ ช่วยแก้ไขปัญหาในการเรียนการสอน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)